วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553
พระเครื่องโบราณอายุ ๒๓๐ ปี กรุวัดเชิงท่า ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
พระเครื่อง หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553
พระเครื่องเมืองสยาม


1.ชินเงิน เป็นโลหะผสมระหว่าง ตะกั่ว ดีบุก และปรอท
2.ชินตะกั่ว หรือชินสังฆวานรเป็นโลหะผสมระหว่าง ตะกั่วกับปรอท
3.ชินอุทุมพร หรือชินเขียว เป็นโลหะผสมระหว่าง ดีบุก ตะกั่ว สังกะสี พลวง เหล็ก ปรอท และเงิน
พระชุดสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศ
พระชุดสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศ : คือพระเครื่องที่เป็นพระชุดสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศ์
คำแนะนำ : พระองค์ที่ลงประมูลนี้เป็นของสมาชิกทั่วไปซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ การตกลงชำระเงินและส่งมอบพระควรตกลงเงื่อนไขการรับประกันให้ดี อย่าโลภ
กติกา : เว็บมาสเตอร์มีสิทธิ์ในการลบกระทู้หรือข้อความที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม หรืออาจสร้างความเสียหายกับส่วนรวมได้ และในการลบออกไม่จำเป็นต้องแจ้งเจ้าของกระทู้แต่ละประการใด สมาชิกควรตั้งประมูลในแต่ละวันไม่เกิน 5 องค์ ของแต่ละกระดาน เนื่องจากจะได้มีเนื้อที่เหลือให้กับสมาชิกท่านอื่นๆ บ้าง จะได้ไม่ตกหน้ากระดานเร็วเกินไป หากท่านมีพระที่ต้องการขายเป็นจำนวนมาก แนะนำว่าควรเปิดร้านใน ตลาดพระดอทคอม
การประมูลที่เจ้าของพระสามารถกำหนดราคากลางไว้ได้ หากไม่มีผู้เสนอราคาถึงราคากลางก็เท่ากับว่ายังไม่ปิดการประมูล การประมูลแบบนี้ เจ้าของพระสามารถกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ตามที่ตนเองพอใจ โดยเงื่อนไขการปิดประมูล ก็ต่อเมื่อมีผู้ให้ราคาเท่ากับราคากลางที่ตั้งไว้
เจ้าของพระสามารถกำหนดให้มีการสู้ราคา คือ เมื่อมีผู้ที่เสนอราคาประมูลถึงราคากลาง เป็นคนแรก แล้ว ระบบจะขยายเวลา(นับจากเวลาของผู้ที่เสนอถึงราคากลางเป็นคนแรก) ให้ท่านอื่นสู้ราคาได้อีก 5 นาที เพื่อหาผู้ที่ให้ราคาสูงสุด
การสะสมพระเครื่อง

1ถามตัวเองก่อนว่าชอบพระเครื่องอะไร เพราะว่าพระเครื่องมีอยู่หลายแบบทั้งเนื้อผง , เนื้อดิน , เหรียญ , กริ่ง , รูปหล่อ ฯลฯ รวมทั้งพระกรุ พระเก่า พระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ เลือกเก็บสิ่งที่ชอบจะทำให้มีความสุขในการสะสม
เลือกเก็บพระที่ดูง่ายเป็นหลัก พระเครื่องอะไรก็ได้ที่ชอบไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ แต่จะต้องเป็นพระแท้ดูง่ายเท่านั้น
อย่าโลภ เพราะว่าพระแท้ไม่มีถูก อย่าซื้อพระเครื่องที่ราคาใคร ๆ ก็อยากได้ของดีและถูก ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะมีแต่น้อยมาก
2.ถ้ามีกำลังพยายามเก็บพระสวย แต่ถ้าหาไม่ได้พยายามหาพระเครื่องที่สภาพเดิมที่สุดเท่าที่จะทำได้
การตรวจเช็คพระต้องเช็คกับคนเป็น อย่าหูเบา การเสนอขายในสนามพระเครื่องเป็นแนวทางการเช็คพระเครื่องที่ดีที่สุด
วงการพระเครื่องทุกวันนี้มีมาตรฐานมากขึ้น ทำให้การสะสมง่ายขึ้น ศึกษาคนขายก่อนที่จะทำการเช่าบูชา ให้มีการรับประกัน3.ความแท้อย่างชัดเจน พึงระลึกว่าเงินของเราแท้ พระเครื่องที่ได้ก็ต้องแท้ด้วย
พระเครื่อง เป็นวัตถุมงคลที่ไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวพุทธ การได้พระเครื่องมาสะสมถือเป็นเรื่องมงคล ถ้าเช่าพระเครื่องแล้วมีปัญหาที่ทำให้ไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเรื่องใด ๆ อาทิ เรื่องเงิน , ทะเลาะกับครอบครัว , ไม่สบายใจ ฯลฯ อย่าเช่าโดยเด็ดขาด พึงระลึกเสมอว่าเรากำลังนำสิ่งที่ดีเป็นมงคลเข้าสู่บ้าน
วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เทพเจ้าแห่งวาจาสิทธิ์หลวงปู่เขียนวัดสำนักขุนเณรพิจิตร

หลวงพ่อเขียน มีนามเดิมว่า เสถียร จันทร์แสง เกิดเมื่อวันเสาร์ เดือน 4 ปีขาล ตรงกับ พ.ศ.2399 ที่บ้านตลิ่งชัน เมืองเพชรบูรณ์ บิดาชื่อนายทอง มารดาชื่อ นางปลิด บ้านอยู่ติดกับวัดทุ่งเรไรมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 5 คน เป็นชาย 3 คน เป็นหญิง 2 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 3บิดามารดามีอาชีพทำไร่ทำนา และที่พิเศษคือ บิดาของท่านเป็นคนทรงประจำหมู่บ้านซึ่งชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า "สมุนเจ้าพ่อ"
วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ข้อมูลประวัติหลวงพ่อเงิน

เกิด วันศุกร์ที่ 16 พ.ศ.2353 เดือน 10 ปีฉลู
อุปสมบท ที่วัดตองปู หรือวัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ
มรณภาพ วันศุกร์ แรม 11 ค่ำ ปีมะแม พ.ศ. 2462
รวมสิริอายุ ประมาณ 109 ปี
วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
หลวงพ่อเงิน ท่านได้สร้างและปลูกเสกวัตถุมงคลเอาไว้หลายชนิดทั้งพระรูปหล่อ เหรียญหล่อ พระเนื้อดิน และตะกรุด ที่ได้รับความนิยมสูงสุด และพระที่นิยมในวงการปัจจุบัน คือ รูปหล่อ และเหรียญหล่อ
รูปหล่อหลวงพ่อเงิน เป็นพระเนื้อโลหะผสมประเภททองเหลือง มี 2 พิมพ์ คือ พิมพ์นิยม และพิมพ์ขี้ตา สร้างเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2460 ส่วนเหรียญหล่อหรือเหรียญจอบมีทั้งพิมพ์จอบใหญ่และพิมพ์จอบเล็ก
วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
แนะนำพระสมเด็จ
ส่วนความรู้ในเรื่องของพระสมเด็จวัดระฆัง ในความเห็นส่วนตัวแล้วไม่ยึดติดในแบบพิมพ์ของหลวงวิจารณ์ เพราะผมมีความเชื่อมั่นว่าสมเด็จโตท่านมีชีวิตอยู่ถึง ห้าแผ่นดิน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพระพิมพ์เพียงแค่หลวงวิจารย์เท่านี้ นอกพิมพ์นี้เก๊หรือทุกท่านที่ได้อ่านแล้วคิดอย่างไร ส่วนตัวแล้วผู้ใดจะวิจารณ์อย่างไรไม่สน เฉย เฉยลูกเดียว ของที่หลุดออกมาแล้วได้เช่าหากันในราคาถูกๆนั้นก็เลยมีให้ชมกันอยู่ทุกวันนี้ เชื่อเถอะต้องมีพระพิมพ์ที่ไม่ใช่แต่ของหลวงวิจารณ์แต่อย่างเดียว แบ่งพระสมเด็จวัดระฆังออกเป็น 3ยุค คือ 1.ยุคต้น (ร.2-ร.3 ) 2.ยุคกลาง (ร.3-ร.4) 3.ยุคปลาย (ร.4-ร.5) พระสมเด็จที่ท่านทำขึ้นมาด้วยกรรมวิธีที่พิถีพิถัน ใช้เวลานานและยากลำบากและด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ สร้างขึ้นมาหลายหลายองค์แล้วถูกกำหนดว่า ใช้ได้เพียงพิมพ์ที่นิยมเพียงไม่กี่องค์มันไม่ถูกต้อง ท่านทั้งหลายลองศึกษาจากตำราหลายๆเล่มอย่ายึดมั่นแต่ตำราเพียงเล่มเดียว ศึกษาแล้วใช้วิจารณาญาณส่วนตัวดู ผมขอยกตัวอย่างหนังสือ ทีเด็ดพระสมเด็จ ของท่านอาจารย์ พน นิลผึ้ง ค้นคว้าและเรียบเรียงไว้ถูกใจมาก เนื้อหากว้างขวางข้อมูลไม่คับแคบจนทำให้พระสมเด็จของสมเด็จโตต้องถูกทิ้งขว้างวางเฉย ไม่ได้ถูกนำมาใช้บูชาให้เกิดประโยชน์
ข้อมูลต่อไปนี้คัดลอกมาจากหนังสือ ทีเด็ดพระสมเด็จ ของอาจารย์พน นิลผึ้ง มาเพียงส่วนเดียว
พระสมเด็จทำมาจากอะไรบ้าง
การสร้างพระสมเด็จของพระพุฒาจารย์โต พระหมรังสี ท่านใช้ส่วนประกอบขององค์พระมากมายหลายอย่าง มีทั้งผงวิเศษ หรือผงสมเด็จ หรือผงกฤติยาคม เกษรดอกไม้ร้อยแปดชนิด ว่านยาและว่านมงคล สมุนไพรต่างๆ อัญมณี แร่ธาตุ พระธาตุ พระเก่าโบราณ ของวิเศษที่เป็นมงคล ก้านธูปบูชาพระรัตนตรัย ไม้มงคล ดินโป่ง หินเปลือกหอย ผลไม้ กระยาหาร ข้าวหอม ไคลเสมาไคลเสาตะลุงช้างเผือก ดินสอพอง ปูนตายซาก หมุดเงินทอง ทรายเงินทรายทอง ใบลาน น้ำอ้อย ยางไม้ น้ำมันตังอิ๊ว ผงตะไบพระทอง และของที่เหลือใช้อย่างอื่นอีก
การทำพระสมเด็จของท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านมีวิธีการทำดังนี้
ขั้นที่1 ท่านเอาดินสอพองจากลพบุรีถือว่าเป็นดินที่ขาวบริสุทธิ์ เอามาร่อนแยกเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากดินสอพอง ให้เหลือแต่ดินสอพองบริสุทธิ์ ปั้นเป็นท่อนพอหมาดแล้วตัดเป็นแผ่นบางๆตากแดดให้แห้งสนิท
ขั้นที่2 เอาดินสอพองที่หั่นตากแดดแห้งสนิทแล้วเอามาบดให้เป็นผงละเอยดเอาไปตากแดดให้แห้งสนิทอีกครั้ง แล้วแยกผงแป้งดินสอพองออกไปบรรจุใส่บาตร 5 บาตรเท่าๆกัน
ขั้นที่3 เอาดินสอพองในบาตรที่หนึ่ง บริกรรมบรรจุด้วยคาถาบท อิธเจ บาตรที่2 บริกรรมประจุด้วยคาถาบท ตรีนิสิงเห บาตรที่3 บริกรรมปรุด้วยคาถาบท ปัทมัง บาตรที่4 บริกรรมประจุด้วยคาถาบทมหาราช และบาตรที่5 บริกรรมประจุด้วยคาถาบทพุทธคุณ ท่านบริกรรมประจุด้วยคาถาทั้ง 5 บท แต่ละบาตรอยู่ตลอดเวลาด้วยตัวท่านเอง จนเห็นว่าขัลงเพียงพอ
ขั้นที่4 เอาผงทั้ง 5 อย่าง 5 บาตรมารวมกันใส่ในบาตรใหญ่ 1 บาตร แล้วกำกับด้วยคาถา ทั้ง 5 บท อิธเจ - ตรีนิสิงเห - ปัทถมัง - มหาราช - พุทธคุณ พร้อมกันในบาตรใหญ่ เรื่องการบริกรรมคาถาทั้ง 5 บทพร้อมกันนี้ อาจารย์มงคลเล่าว่า ผู้ทำได้จะต้องมีจิตสมาธิแข็งกล้าจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะทำให้จิตแตกกลายเป็นบ้าไปได้ บุคคลหรือพระที่ทำได้ในโลกนี้ก็มีเพียงสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น จึงทำให้ผง กฤติยาคมของท่านขลังยิ่งนัก
ขั้นที่5 เอายอดไม้มงคลเช่นยอดตำลึง - ยอดสุดสวาท - ยอดและดอกรักซ้อน - ยอดกาหลง - ยอดทองพันชั่ง - ราชพฤกษ์ - กระแจตะนาว - ยอดใบเงิน - ทอง - นากและอื่นๆอีก เอามาตำให้แหลกละเอียดเอาน้ำพุทธมนต์ 7 บ่อ 7 รสผสมลงไปแล้วตั้นเอาแต่นำไปผสมผง 5 อย่าง แล้วปั้นเป็นแท่งชอล์คเอาไว้เขียนเลขยันต์ เรียกว่าดินสอมหาชัย
ขั้นที่6 เอาดินสอมหาชัยไปเขียนเลขยันต์บนกระดาน แล้วลบเลขยันต์เก็บเอาผงชอล์คหรือดินสอมหาชัย ไว้เอาไปผสมน้ำคั้นยอดไม้มงคลปั้นเป็นแท่งดินสอมหาชัยใหม่ตากให้แห้ง แล้วนำมาเขียนเลขยันต์ในกระดานแล้วลบเลขยันต์เอาผงไปผสมน้ำคั้นยอดไม้มงคลอีก นำมาปั้นเป็นดินสอมหาชัย แล้วเอาไปเขียนเลขยันต์ทำอยู่อย่างนั้นหลายร้อยคาบ หลายร้อยครั้ง จนสุดท้ายผงจากดินสอมหาชัยที่มียางยอดไม้ผสมจะเกาะเป็นเม็ดกลมเวลาเขียนจะร่วนออกมาเป็นเม็ดๆเล็กๆสีขาวขุ่นๆแข็งแกร่งมาก เม็ดผงนี่แหละเรียกว่า ผงสมเด็จหรือกฤติยาคม
ขั้นที่7 ท่านเอาผงกฤติยาคมไปบรรจุไว้ในบาตรและบริกรรมพระคาถาดังกล่าวมาแล้วกำกับตลอดทุกวัน เป็นเวลานานๆ จนท่านมั่นใจว่าขลังดีแล้ว จึงเอามาผสมเนื้อพระและมวลสารอื่นตำผสมทำเป็นเนื้อพระเอาไปพิมพ์พระต่อไป
ท่านทั้งหลายเมื่ออ่านดูวิธีการทำของสมเด็จโตแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ส่วนตัวผมเองรู้สึกถึงคุณค่าของพระแต่ละองค์ว่าได้มาด้วยความยากลำบาก จะถูกทอดทิ้งไปโดยไร้คุณค่าเนื่องจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลองหาหนังสือ ทีเด็ดพระสมเด็ด ของอาจารย์ พน นิลผึ้ง มาศึกษากันดู มีข้อมูลอีกมากมายกว้างดี ใจไม่แคบ แล้วใช้วิจารณาญาณดูว่าเป็นไปได้ไหมท่านมีชีวิตอยู่ถึงห้าแผ่นดิน แต่ถูกจำกัดพิมพ์พระแค่หลวงวิจารณ์เท่านั้น นอกพิมพ์นี้เก๊ ท่านอุตส่าห์ทำมาด้วยความยากลำบากแต่ไม่ถูกใช้ประโยชน์ให้เต็มที่มันผิดอยู่นะ ผมเองไม่ได้ต้องการดึงราคาพระนอกพิมพ์ให้มีราคาสูงขึ้นแต่อย่างใด เพียงต้องการให้พระของท่านใช้ประโยชน์ได้เต็ม ไม่ใช่ใช้ได้เพียงส่วนเดียวอีกส่วนเก๊ ดังนั้นท่านทั้งหลายที่มีพระสมเด็จที่พิมพ์ไม่เหมือนของหลวงวิจารณ์ แล้วละก็อย่าเพิ่งทิ้งขว้างใจเย็นๆค่อยๆศึกษาดูก่อนด้วยตัวเอง เขาเรียนจบปริญญาได้เราก็ต้องทำได้ คนอีสานพูดว่า คนคื๊อกั้น ไม่เห็นเขาจะมีสามหรือ สี่ตาเลย เราจะได้มีพระสมเด็จไว้บูชากราบไหว้แบบสุดรักสุดหวงแหนกัน ในราคาที่ไม่ต้องไปเสียเงินกันเป็นแสนเป็นล้าน
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
หลวงพ่อเงิน
วัดหิรัญญาราม (วัดวังตะโก) บางคลาน จ.พิจิตร
คัดลอกจาก http://www.tumnan.com/father_nerng/history.html
หลวงพ่อเงิน ท่านเกิดเมื่อ วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๓ ตรงกับวันศุกร์ เดือน ๑๐ ปีฉลู บิดาชื่อ อู๋ มารดาชื่อ ฟัก ท่านเกิดที่บ้านบางคลาน อำเภอโพธิ์ทะเล จังหวัดพิจิตร บิดาเป็นชาวบางคลาน มารดาเป็นชาวบ้านแสนตอ อำเภอขาณุวรลักษณ์บุรี (แสนตอ) จังหวัดกำแพงเพชร
ตั้งแต่อายุ ๓ ขวบ ได้ไปอยู่กับลุง ชื่อนายช่วง ที่กรุงเทพฯ และได้เข้าเรียนที่ บ้านตองปุ (วัดชนะสงคราม) จังหวัดพระนคร เมื่ออายุได้ ๑๒ (พ.ศ. 2365) ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรได้ศึกษาธรรมวินัย เวทย์วิทยาการต่างๆ จนแตกฉาน พออายุใกล้อุปสมบทท่านได้สึกจากสามเณรและหลังจาก ได้อุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดตองปุ (วัดชนะสงคราม) ได้ร่ำเรียนวิปัสสนาอยู่ ๓ พรรษา แล้วมาอยู่วัดคงคาราม (วัดบางคลานใต้) ได้ ๑ พรรษา ขณะนั้นหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ให้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ท่านเป็นพระเรืองวิชา ชอบเล่นแร่ แปลธาตุ แต่หลวงพ่อเงินท่านเคร่ง ธรรมวินัย ชอบความสงบ ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่หมู่บ้านวังตะโก ลึกเข้าไปทางลำน้ำเก่า
กล่าวกันว่า....เดิมที่ท่านจากวัดคงคารามไปแล้ว ก็มาปลูกกุฏิด้วยไม่ไผ่มุงหลังคาด้วยแฝกอยู่องค์เดียว และพร้อมกันนั้นได้นำกิ่งโพธิ์มาปักไว้ที่ริมตลิ่ง (หน้าพระอุโบสถ) แล้วอธิษฐานว่าถ้าท้องถิ่นนี้จะเจริญรุ่งเรืองเป็นอารามต่อไป ก็ขอให้โพธิ์ต้นนี้งอกงามแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นนิมิตดีต่อไปด้วย และเหตุการณ์ก็เป็นจริงดังอธิษฐานไว้ ซึ่งต่อมาพื้นที่แถบนั้นก็ได้ปรากฏเป็น "วัดวังตะโก" เกิดขึ้น พระอารามแห่งนี้ "หลวงพ่อเงิน" ได้เป็นผู้สร้างไว้เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2377 ต่อมาวัดวังตะโก หรือวัดหิรัญญารามก็เจริญอย่างรวดเร็ว มีผู้คนเคารพนับถือและถวายตัวเป็นศิษย์ ขอมาฟังธรรม ขอเครื่องรางของขลัง และขอให้หลวงพ่อช่วยรักษาโรคให้ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์และสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณฝ่ายวิปัสสนา
"หลวงพ่อเงิน" นับเป็นพระเกจิอาจารย์ ผู้เลื่องชื่อ ด้านไสยเวทเยี่ยมยอดที่สุดของเมืองพิจิตร จนเมื่อมาอยู่วัดวังตะโดและได้พัฒนาวัดจนรุ่งเรือง เป็นที่รู้จักกันไปทั่วว่า
หลวงพ่อเงินสามารถรู้ผู้มาเยือนด้วยญาณวิเศษได้อย่างมหัศจรรย์ และยังเป็นหมอเชี่ยวชาญในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ชาวบ้านได้อย่างชะงัดอีกด้วย เคยมีผู้ไปลองดีกับท่าน ท่านก็แอ่นอกให้ยิง แต่กระสุนไม่ยอมออกจากลำกล้อง ความศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงอัจฉริยะของ "หลวงพ่อเงิน" บางคลาน นับว่าร่ำลือกันไปไกลมาก จนถึงขนาดเสด็จในกรม "กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์" ก็ยังเสด็จไปฝากตัวเป็นศิษย์ด้วย
ผลงานที่สำคัญ
๑. ด้านการก่อสร้าง หลวงพ่อมักเป็นธุระในเรื่องการสร้างถาวรวัตถุ ท่านเป็นนักก่อสร้าง ท่านควบคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง ท่านรวบรวมปัจจัยได้จากการสร้างวัตถุมงคล เงินบริจาค สิ่งที่ท่านชอบสร้างอีกอย่างหนึ่งนอกจากโบสถ์ วิหาร ศาลา ก็คือ ศาลาพักร้อนเพื่อคนสัญจรไปมา
๒. ด้านการรักษาโรคด้วยวิชาแพทย์แผนโบราณ หลวงพ่อเงิน เป็นหมอแผนโบราณ ทางด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยยาสมุนไพรหรือบางครั้งก็ใช้น้ำมนต์ ซึ่งก็ให้ผลในด้านกำลังใจ ปัจจุบันยังมีตำรายาและสมุดข่อย ของท่านที่เก็บรักษาไว้ที่วัดบางคลาน
๓. เป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงด้านวิปัสสนา เป็นศิษย์รุ่นเดียวกันกับหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ซึ่งท่านได้ แนะนำให้กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้มาเรียนวิชาทางวิปัสสนากับหลวงพ่อ รวมทั้งสมเด็จพระสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็เสด็จมาประทับที่วัดวังตะโก อยู่หลายวัน เพื่อเรียนทางด้านวิปัสสนา
๔. พระเครื่องหรือพระพิมพ์ หลวงพ่อไม่นิยมสร้างพระเครื่อง เพราะท่านบอกว่า คงกระพันชาตรีเป็นเรื่องเจ็บตัว พระเครื่องรุ่นที่ หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่จึงมีน้อย และมีพระคุณานุภาพทรงคุณทางแคล้วคลาดคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม พระเครื่องรุ่นที่ท่านจัดสร้างมี
- หลวงพ่อเงินชนิดกลม (ลอยองค์ มี ๒ ชนิด คือ พิมพ์ขี้ตาและพิมพ์นิยม)
- หลวงพ่อเงินชนิดแบนหรือสามเหลี่ยมหน้าจั่ว
- หลวงพ่อเงินชนิดสามเหลี่ยมหน้าจั่วไข่ปลา
- พระเจ้าห้าพระองค์
ท่านมีโรคประจำตัว คือโรคริดสีดวงทวาร ท่านรักษาตัวเองบางครั้งก็หาย บางครั้ง ก็กลับเป็นอีก ท่านเคยกล่าวว่า "คนอื่นร้อยพันรักษาให้หาย แต่ผงเข้าตาตัวเองกลับรักษาไม่ได้" ท่านมรณภาพ เมื่อวันศุกร์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะแม ตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๒ อายุได้ ๑๐๙ ปี